มีการศึกษาต่อเนื่องที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการดูโทรทัศน์ที่มากเกินไปในเด็กเล็ก กับพัฒนาการช้าในด้านการรู้คิด ภาษา และด้านอารมณ์สังคม ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็กที่ลดลงในช่วงที่โทรทัศน์เปิดอยู่ และหน้าที่ในครอบครัวที่แย่ลงในบ้านที่มีการใช้สื่อมีจอปริมาณมาก นอกจากนี้อายุที่เริ่มใช้สื่อมีจอที่ยิ่งน้อยลง จำนวนชั่วโมงสะสมในการใช้สื่อมีจอที่มากขึ้น และเนื้อหาของสื่อที่ไม่เหมาะสม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตัวทำนายที่เป็นอิสระต่อกันในการที่จะส่งผลให้ทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กก่อนวัยเรียนนั้นแย่ลง
เนื้อหาที่ดูผ่านสื่อมีจอนั้นมีความสำคัญ มีหลักฐานงานวิจัยเชิงทดลองได้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนจากเนื้อหาที่มีความรุนแรงไปเป็นเนื้อหาที่ส่งเสริมการศึกษาหรือส่งเสริมกิจกรรมช่วยเหลือสังคมนั้น ส่งผลให้ปัญหาพฤติกรรมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กผู้ชายที่ทางบ้านมีปัญหาเศรษฐานะ และเป็นที่น่าสังเกตว่าคุณภาพของการเลี้ยงดูสามารถที่จะปรับความสัมพันธ์ของการใช้สื่อมีจอที่มีต่อพัฒนาการของเด็กได้ โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่าเนื้อหาของสื่อที่ไม่เหมาะสมและการเลี้ยงดูที่ไม่คงเส้นคงวา ส่งผลเชิงลบแบบสะสมต่อทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กก่อนวัยเรียนที่ทางบ้านมีปัญหาเศรษฐานะ ในขณะที่การเลี้ยงดูแบบให้ความอบอุ่น และเนื้อหาของสื่อที่ส่งเสรมิ การศึกษานั้นจะช่วยเสริมให้เกิดผลดีต่อเด็กมากยิ่งขึ้น ลักษณะนิสัยของตัวเด็กเองอาจมีอิทธิพลต่อจำนวนเวลาที่ใช้ในการดูสื่อมีจอของเด็กด้วยเช่นกัน เช่น การดูโทรทัศน์ที่มากเกินไปมีแนวโน้มที่จะพบในกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก และเด็กที่มีปัญหาในการควบคุมตนเองมากกว่า และเด็กที่มีพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคมช้ามีแนวโน้มที่ผู้เลี้ยงดูจะใช้สื่อมีจอแบบพกพาเพื่อทำให้เด็กสงบมากกว่าคำแนะนำ
สำหรับครอบครัว
- สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 18-24 เดือน ให้หลีกเลี่ยงการใช้สื่อมีจอทุกชนิด (ยกเว้นวิดีโอแชท)
- สำหรับเด็กอายุ 18-24 เดือน ถ้าต้องการจะให้ใช้สื่อมีจอ ให้เลือกโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับเด็กและใช้ไปด้วยกันกับเด็ก หลีกเลี่ยงให้เด็กวัยนี้ใช้สื่อมีจอตามลำพัง
- สำหรับเด็กอายุ 2-5 ปี ให้จำกัดเวลาการใช้สื่อมีจอที่มีโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นคุณภาพสูงเหมาะสมกับเด็กไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน และใช้ไปด้วยกันกับเด็ก จะช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่เด็กเห็นมากขึ้น และช่วยให้เด็กประยุกต์สิ่งที่ได้เรียนรู้ไปสู่การเรียนรู้ในชีวิตจริงรอบๆ ตัวเด็กได้
- อย่าให้เด็กรีบใช้เทคโนโลยีตั้งแต่เนิ่นๆ เพียงเพราะกลัวว่าเด็กจะตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากเด็กๆ สามารถเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีได้โดยง่ายและรวดเร็วตั้งแต่ทันทีที่เด็กได้เริ่มใช้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียน
- หลีกเลี่ยงโปรแกรมที่หน้าจอเปลี่ยนไปมาเร็วๆ(fast-paced programs) ที่เด็กเล็กๆ ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กดู และแอพพลิเคชั่นที่มีเนื้อหาชวนเบี่ยงเบนความสนใจเด็กปริมาณมาก รวมถึงเนื้อหาที่มีความรุนแรง
- ปิดโทรทัศน์และอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อไม่ใช้งาน
- หลีกเลี่ยงการใช้สื่อมีจอเพื่อทำให้เด็กสงบ ถึงแม้ว่าจะใช้แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม เช่น เวลาที่ทำหัตถการทางการแพทย์ เวลานั่งเครื่องบิน เนื่องจากการใช้สื่อมีจอเพื่อทำให้เด็กสงบนั้น นำมาสู่ปัญหาทั้งการไม่สามารถจำกัดเวลาการใช้ได้หรือไม่สามารถให้เด็กพัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเองได้ ถ้ามีความจำเป็นให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อขอรับความช่วยเหลือ
- ควบคุมเนื้อหาของสื่อมีจอที่เด็กใช้ และแอพพลิเคชั่นที่เด็กใช้หรือดาวน์โหลด ทดสอบ
แอพพลิเคชั่นนั้นๆ ก่อนที่จะให้เด็กใช้ ใช้ไปด้วยกันกับเด็ก และถามเด็กว่าเด็กคิดอย่างไรเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นนั้นๆ
- ควรจัดให้ช่วงเวลา และสถานที่ดังต่อไปนี้เป็นที่ปลอดสื่อมีจอสำหรับพ่อแม่และเด็ก ได้แก่ ก่อนเวลานอน 1 ชั่วโมง ภายในห้องนอน ระหว่างมื้ออาหาร และระหว่างช่วงเวลาการเล่นด้วยกันของพ่อแม่กับเด็ก
ที่มา
AAP Council on Communications and
Media. Media and Young Minds. Pediatrics
2016;138(5):e20162591
วารสารราชานุกูล 2560, 32(1)