พัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้า (Child’s delayed language or speech development)
พัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้า (Child’s delayed language or speech development) หมายถึง เด็กอายุ 2 ขวบยังไม่เริ่มพูดเป็นคำที่มีความหมายหรือเด็กอายุ 18 เดือนยังไม่พูดเป็นคำที่มีความหมายร่วมกับยังไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆได้
พบเด็กพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าได้ประมาณ 5 - 8 % ของเด็กอายุ 2 - 5 ปี ส่วนใหญ่พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 2 - 3 เท่า
การพัฒนาภาษาหรือการพูดปกติของเด็กควรเป็นดังนี้
สาเหตุของพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้าได้แก่
1. การได้ยินผิดปกติ เด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าโดยไม่เข้าใจคำสั่ง พูดไม่ได้ ร่วมกับไม่ตอบสนองต่อเสียง จ้องมองหน้าหรือริมฝีปากของคู่สนทนา และใช้ภาษาท่าทางในการสื่อสาร อาจพบปัญหาทางอารมณ์ร่วมด้วยได้คือ ร้องไห้โวยวายเมื่อขัดใจเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ แต่มีทักษะทางสังคมและการเล่นปกติ
2. ภาวะสติปัญญาบกพร่อง/ปัญญาอ่อน เด็กมีปัญหาพัฒนาการล่าช้าด้านภาษาร่วมกับพัฒนาการด้านอื่นๆล่าช้าด้วยโดยเฉพาะความสามารถในการใช้ตาและมือทำงานประสานกันเช่น การร้อยลูกปัด การต่อบล็อกไม้ หรือการวาดรูปทรงเรขาคณิต
3. ออทิสติก (Autistic child) เป็นภาวะที่เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าร่วมกับความบกพร่อง ด้านสังคม ทักษะการเล่น และมีพฤติกรรมหรือความสนใจหรือกิจกรรมที่ซ้ำๆ โดยเด็กจะไม่มองหน้า ไม่สบตา เรียกไม่หัน ไม่เข้าใจคำสั่ง ไม่มีภาษาท่าทางในการสื่อสาร เวลาต้องการอะไรจะไม่ใช้นิ้วมือของตัวเองชี้สิ่งที่ต้องการแต่จะจับมือคนอื่นไปที่สิ่งนั้นแทน ไม่มีความสนใจร่วมกับคนอื่น ไม่แสดงความผูกพันกับคนเลี้ยง สีหน้าเรียบเฉย ไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ไม่สน ใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เล่นคนเดียว เล่นเสียงตนเอง ส่งเสียงไม่เป็นภาษา เล่นซ้ำๆ เล่นสมมติไม่เป็น ไม่แสดงท่าทางเลียนแบบ สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุเช่น เล่นแต่ล้อรถหรือใบพัด มีท่าทางหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ติดวัตถุบางประเภท เอาของมาเรียงเป็นแถว ชอบของหมุนๆ ดูหนังการ์ตูนเรื่องเดิมๆ มีกิจกรรมเดิมๆซ้ำๆซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ลำบาก
4. พัฒนาการทางภาษาผิดปกติ เด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ และล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันโดยไม่ได้มีความผิดปกติของสมอง การได้ยิน กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด โรคออทิสติก หรือขาดการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ผิดปกติในด้านต่างๆได้แก่ การเรียนรู้และความเข้าใจคำศัพท์จำกัด แต่งประโยคไม่ถูกต้อง ใช้ภาษาไม่ถูกต้องตามสถานการณ์ทางสังคม จำแนกเสียงในภาษาไม่ได้ พูดไม่ชัด โดยพัฒนาการด้านภาษาที่ผิดปกติแบ่งเป็นกลุ่มดังนี้
5. ขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม การเลี้ยงดูมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนา การด้านภาษาโดยส่วนใหญ่มักเป็นสาเหตุร่วมของภาวะพูดช้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุหลักต้องเป็นการละเลยทอดทิ้งที่รุนแรง เมื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูให้เหมาะสมจะทำให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น
บิดามารดาหรือผู้ปกครองควรนำเด็กพบแพทย์เมื่อ
แพทย์วินิจฉัยเด็กมีพัฒนาการทางภาษาช้าหรือพูดช้าโดย
1. การซักถามประวัติ: ประวัติพัฒนาการด้านภาษาทั้งความเข้าใจภาษาและความสามารถในการสื่อสาร พัฒนาการด้านอื่นๆ ประวัติการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอด ภาวะพูดช้าในครอบครัว การเลี้ยงดู
2. การตรวจร่างกาย: เพื่อตรวจความผิดปกติของระบบประสาทและสมองรวมถึงความผิดปกติแต่กำเนิดและความผิดปกติทางพันธุกรรม
3. การสังเกตพฤติกรรม: ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่และแพทย์ การเล่นทักษะทางสังคม ภาษาท่าทางในการสื่อสาร พฤติกรรมซ้ำซาก พฤติกรรมการตอบสนองต่อเสียง และพฤติกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของการพูดช้า
4. การประเมินพัฒนาการ: ประเมินพัฒนาการด้านต่างๆได้แก่ การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (มัดที่ใช้ในการเคลื่อนไหว) กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มัดที่เกี่ยวกับการใช้มือและสายตา) ความเข้าใจภาษา และการสื่อสาร การช่วยเหลือตัวเองและทักษะทางสังคม รวมถึงการตรวจวัดระดับพัฒนาการหรือเชาวน์ปัญญา (IQ, Intelligence quotient) ซึ่งถ้าพัฒนาการด้านอื่นๆปกติหรือเชาวน์ปัญญาที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษาปกติจะบ่งบอกถึงการพยากรณ์โรคที่ดี
5. การตรวจการได้ยิน
ควรดูแลช่วยเหลือเด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าโดย
1. ให้การเลี้ยงดูที่เอื้อต่อพัฒนาการทุกด้านของเด็กเช่น การเล่น การเล่านิทาน การพูดคุยกับเด็ก ไม่ให้ดูโทรทัศน์มากเกินไป และควรสังเกตพัฒนาการด้านต่างๆของเด็กอย่างใกล้ชิด
2. ตรวจประเมินเพื่อหาสาเหตุของภาวะพูดช้าและให้การรักษาที่ตรงกับสาเหตุ รวมถึงใช้อุปกรณ์ช่วยฟังถ้ามีความบกพร่องทางการได้ยิน
3. ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและด้านอื่นๆที่บกพร่องอย่างสม่ำเสมอ ดูแลเด็กให้มีโอกาสได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในชีวิตประจำวัน และครอบครัวควรต้องมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาการ
4. การใช้ยา การใช้ยาอาจจำเป็นเพื่อบรรเทาปัญหาพฤติกรรมบางอย่างเช่น ซน ไม่อยู่นิ่ง ต่อต้าน อาละวาด ก้าวร้าว แต่ไม่มียาหรือวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดใดที่ทำให้พัฒนาการดีขึ้น
5. ตรวจหาและรักษาความผิดปกติที่พบร่วมเช่น ปัญหาซน สมาธิสั้น การใช้กล้ามเนื้อมือและสายตา ทักษะทางสังคม และปัญหาการเรียนรู้
6. การช่วยเหลือด้านการศึกษา ถ้าเด็กได้รับการประเมินจากแพทย์และโรงเรียนร่วมกันว่ามีความพร้อมเพียงพอ เด็กสามารถเข้าเรียนได้ตามวัยและควรเรียนในโรงเรียนทั่วไปร่วมกับเด็กปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม การสื่อสาร และทักษะอื่นๆในการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อเน้นเนื้อหาสาระในการเรียน ควรมีการจัดแผนการสอนเฉพาะตัวสำหรับเด็กโดยความร่วมมือของครูแพทย์และพ่อแม่ให้สอดคล้องกับปัญหาและระดับพัฒนาการของเด็กเช่น ใช้สื่อการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาเช่น สื่อรูปภาพ เป็นต้น
ผู้ปกครองควรให้การดูแลเด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าโดย
1. สื่อสารกับเด็กมากขึ้นโดยเลือกใช้คำที่ง่ายและสั้นรวมถึงออกเสียงพูดให้ชัดเจน
2. ควรพูดในสิ่งที่เด็กสนใจและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
3. สร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ทางภาษาเพิ่มเติมจากการเล่านิทาน การดูรูปภาพ การพูดคุย งดการดูโทรทัศน์และการเล่นหรืออยู่คนเดียว
4. ฝึกพูดให้ลูกผ่านการพูดคุย โดยฟังลูกพูดอย่างตั้งใจ ตั้งคำถามที่เหมาะสมกับพัฒนาการของลูก ช่วยขยายความคำตอบของลูก และชื่นชมเมื่อลูกร่วมมือในการฝึก
การเลี้ยงดูลูกให้มีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาตามวัยจะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการปกติ แต่อย่างไรก็ตามควรสังเกตพัฒนาการของลูกอย่างใกล้ชิด เมื่อพบว่าลูกมีพัฒนาการที่ล่าช้า ควรพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว การได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่เริ่มแรกเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการรักษา
#ลูกพูดช้า, #ลูกไม่พูด, #เด็กไม่พูด
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://haamor.com/th/