สาเหตุของพัฒนาการทางภาษาล่าช้าและพูดช้า
1. การได้ยินผิดปกติ (Hearing Impairment) เป็นภาวะที่พบบ่อย โดยมีความชุกเมื่อแรกเกิดประมาณ 1-2 ต่อประชากร 1,000 คน7 แต่มีเด็กจำนวนหนึ่งที่มีความผิดปกติของการได้ยินเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งมักมีพัฒนาการทางภาษาใกล้เคียงปกติ อาจมีเพียงปัญหาพูดไม่ชัดเท่านั้น ส่วนเด็กที่มีการได้ยินผิดปกติชัดเจน มักมีปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้า ไม่สามารถพูดได้ ในรายที่ความผิดปกติรุนแรง เด็กจะส่งเสียงเป็นเสียงในลำคอ โดยไม่สามารถเปล่งเสียงพยัญชนะต่าง ๆ ได้รวมถึงมีลักษณะทางคลินิกที่สังเกตได้ง่าย คือชอบจ้องมองหน้าหรือริมฝีปากของคนที่พูดด้วย ใช้ภาษาท่าทางในการสื่อความหมายมากกว่าปกติ หากมีการได้ยินหลงเหลืออยู่บ้าง จะตอบสนองต่อเสียงที่ดังเท่านั้น เด็กหูหนวกแต่กำเนิด ชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง sensorineural loss ประมาณร้อยละ 60 มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม7 ซึ่ง ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่คือประมาณร้อยละ 70 มีอาการหูหนวกแต่เพียงอย่างเดียว โดยมีการถ่ายทอดแบบยีนด้อย (Autosomal recessive) สูงถึงร้อยละ75 แบบยีนเด่น (Autosomal dominant) ประมาณร้อยละ 10-20 ส่วนในกลุ่ม อาการหูหนวกที่เป็นส่วนหนึ่ง ของกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติอื่นร่วมด้วย (syndromic hearing loss) เช่น ชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง sensorineural hearing loss สามารถพบร่วมกับกลุ่มอาการ Waardenburg, Pendred, Alport และ Usher ส่วนชนิดการนำเสียงบกพร่อง conductive hearing loss อาจพบร่วมกับกลุ่มอาการ Crouzon, Treacher-Collins, Apert และ Goldenhar เป็นต้น8
นอกจากปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยอื่นที่เป็นสาเหตุของเด็กหูหนวก ได้แก่ การติดเชื้อของระบบประสาทตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น Congenital Cytomegalovirus, Toxoplasmosis , Rubella เป็นต้น
ภาวะที่มารดาได้รับยาหรือสารพิษขณะตั้งครรภ์ เช่น Fetal alcohol syndrome การติดเชื้อ ของระบบประสาทภายหลังเกิดการได้รับยาในกลุ่ม aminoglycoside รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในระยะการเกิดและหลังเกิด ดังนั้น เพื่อให้การวินิจฉัยเด็กหูหนวก ควรพิจารณาในการหาสาเหตุ หรือในบางรายควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรม เพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมในแต่ละสาเหตุ รวมถึงการวางแผนป้องกันการเกิดซ้ำภายในครอบครัว
2. ปัญหาพัฒนาการล่าช้าโดยรวม ปัญหาพัฒนาการภาษาล่าช้า มักเป็นอาการที่เด็กซึ่งมีภาวะสติปัญญาบกพร่องถูกนำมาพบแพทย์ในช่วงปฐมวัย โดยในช่วงวัยนี้ เด็กมีพัฒนาการล่าช้าหลายด้าน โดยเฉพาะทักษะด้านภาษา และทักษะการใช้มือและตาในการแก้ไขปัญหา ( fine-motor adaptive)ซึ่ง เป็นทักษะที่มีความสัมพันธ์กับความสามารถทางสติปัญญาเมื่อเด็กเติบโตขึ้น ส่วนใหญ่เด็กที่มีภาวะสติปัญญาบกพร่องในระดับความรุนแรงน้อย เรียนรู้การพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน แม้จะมีลำดับขั้นตอนความเข้าใจและการใช้ภาษาเช่นเดียวกับเด็กปกติ8 โดยส่วนใหญ่เด็กเหล่านี้สามารถใช้ภาษาพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจมีข้อจำกัดในการเรียนรู้การใช้ภาษาที่ซับซ้อนหรือความเข้าใจในความคิดรวบยอดที่ซับซ้อนและการสรุปใจความสำคัญของเรื่องราวที่ต่อเนื่อง สำหรับเด็กที่มีภาวะสติปัญญาบกพร่องในระดับรุนแรง จะมีความล่าช้าของการสื่อภาษาในทุกด้าน ได้แก่ มีคำศัพท์น้อย มีข้อจำกัดเกี่ยวกับความเข้าใจและการแสดงออกทางภาษา ใช้รูปประโยคหรือไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง มีความยากลำบากในการเล่าเรื่องหรือใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์สังคม โดยประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีระดับสติปัญญาน้อยกว่า 50 จะสื่อความหมายโดยใช้คำเดี่ยวๆ หรือวลีสั้น ๆ ส่วนที่เหลือไม่สามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาพูดได้
3. กลุ่มอาการออทิสซึม (Autistic Spectrum Disorder) พัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้ากว่าวัยเป็นข้อหนึ่งในสามข้อของอาการหลักในการวินิจฉัยกลุ่มอาการออทิสซึม10 โดยทักษะทางภาษาที่ล่าช้าในเด็กกลุ่ม อาการออทิสซึม และเด็กที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางภาษา (Developmental language disorder) เป็นไปในลักษณะคล้ายคลึงกัน หากสิ่งที่สำคัญในการวินิจฉัยแยกโรค คือในกลุ่มอาการออทิสซึมมีความบกพร่องในปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อันได้แก่ การสื่อสารโดยใช้ท่าทาง การมีอารมณ์ร่วมกับผู้อื่น และทักษะการเล่นที่ช้ากว่าวัย รวมทั้ง ในบางรายของเด็กออทิสซึม จะมีความสนใจหรือมีพฤติกรรมที่ซ้ำซากยากต่อการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้พัฒนาการทางภาษาในเด็กกลุ่มอาการออทิสซึมจะมีความบกพร่องมากน้อยต่างกันขึ้นกับความรุนแรงของโรค และภาวะสติปัญญาบกพร่องที่พบร่วมกันกับกลุ่มอาการออทิสซึม
4. พัฒนาการทางภาษาผิดปกติ (Developmental language disorder DLD) หรือ ความบกพร่องเฉพาะด้านภาษา (Specific language impairment SLI) ซึ่งหมายถึง เด็กที่มีความสามารถทางภาษาต่ำกว่าศักยภาพทางสติปัญญาในด้านที่ไม่ใช้ภาษา (nonverbal intelligence) ทำให้เด็กมีความสามารถทางภาษาล่าช้ากว่าเด็กที่มีวุฒิภาวะในวัยเดียวกัน โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครงสร้างของสมอง การได้ยิน การทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูดกลุ่มอาการออทิสซึม หรือขาดการดูแลเอาใจใส่ที่เหมาะสม หากเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ในช่วงปฐมวัยสามารถเรียนรู้ผ่านการใช้สายตามองเห็นได้สมวัย สามารถเล่นกับเด็กวัยเดียวกันอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะการเล่น
สมมติ การมีอารมณ์ร่วมหรือความสนใจร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางภาษาที่มีความล่าช้ามากทั้งด้านการแสดงออกและความเข้าใจภาษา (mix receptive-expressive language disorder) อาจจะมีความยากลำบากในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเด็กโตขึ้น เข้าสู่วัยเรียนจนเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้มีแนวโน้มที่จะมีความบกพร่องในด้านการเรียนโดยเฉพาะด้านการอ่าน ซึ่งมีความสำคัญในการเรียนรู้เพิ่มเติมในวัยเรียนต่อเนื่องจนเป็นผู้ใหญ่ มีการศึกษาติดตามเด็ก กลุ่มนี้ทีมีความล่าช้าที่รุนแรงทั้ง ด้านการพูดและความเข้าใจภาษาจนถึงวัยผู้ใหญ่ เปรียบเทียบกับพี่น้องของเด็กกลุ่มนี้ที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติ และผู้ใหญ่ปกติเป็นกลุ่มควบคุมพบว่า เด็กที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางภาษายังคงมีความบกพร่องทางภาษา และมีผลต่อทักษะทางสังคมที่เป็นปัญหาต่อการปรับตัวในระยะยาว
นอกจากนี้เพื่อประโยชน์ในการให้การดูแลรักษา สามารถจำแนกประเภทเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาผิดปกติออกเป็นกลุ่ม ได้ดังนี้
ก. กลุ่มที่มีพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดช้ากว่าวัยแต่เพียงอย่างเดียว (isolated expressive language disorder) ซึ่งมีความสามารถในด้านความเข้าใจภาษาปกติสมวัยหรือดีกว่าวัย รวมทั้งทักษะสติปัญญาและสังคมปกติ หากมีความบกพร่องในการเปล่งเสียงในภาษาพูดเป็นหลัก ซึ่งในกลุ่มที่มีความล่าช้าไม่มากมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงมาจากเด็กกลุ่มที่ความสามารถทางภาษาเบี่ยงเบนจากความปกติ ( normal variation ) เด็กกลุ่มนี้มีการพยากรณ์โรคในระยะยาวที่ดี โดยเด็กจะเริ่มพูดช้ากว่าวัยเดียวกัน หากเมื่อพูดได้จะสามารถสื่อภาษาและการเรียนรู้ได้ดีทันเด็กวัยเดียวกัน
ข. กลุ่มที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางภาษาที่มีการแสดงออกและความเข้าใจภาษาล่าช้า (mix receptive-expressive language disorder) ซึ่งมีความจากัดในการใช้ภาษาพูด มีความล่าช้าในการเรียนรู้คำศัพท์ และความเข้าใจในคำศัพท์ ใช้คำศัพท์ที่ไม่จำเพาะเจาะจงกับความหมายที่ต้องการจะสื่อสาร มีความบกพร่องในการใช้ไวยากรณ์ พูดสลับคำในประโยคที่ยาวหรือซับซ้อน ความผิดปกติในกลุ่มนี้ที่รุนแรงส่งผลต่อทักษะในชีวิตประจาวันที่เป็นปัญหาต่อการเรียนและการประกอบอาชีพในระยะยาว
ค. กลุ่มที่มีความผิดปกติของพัฒนาการของสมองชั้นสูงในการใช้ภาษา (higher order processing disorder) ซึ่งส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการใช้คำศัพท์และการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมกับกาละเทศะ (semantic pragmatic disorder) ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความยากลำบากในทักษะการใช้ภาษาในปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การสนทนาอย่างต่อเนื่องในเรื่องที่สนใจร่วมกับคู่สนทนา การเข้าใจมุขตลกหรือความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด การสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งความผิดปกติในกลุ่มนี้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกับกลุ่มอาการออทิสซึมที่มีความรุนแรงน้อย ทำให้เกิดความสับสนในการวินิจฉัยแยกโรคได้โดยเฉพาะในช่วงเด็กก่อนวัยเรียน ดังนั้น ควรมีการติดตามอัตราการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการทางภาษา และความสามารถทางสังคมหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องไปถึงวัยเรียน
สำหรับปัจจัยที่อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้า แต่จากหลักฐานในปัจจุบันพิสูจน์ว่าไม่ใช่สาเหตุ ได้แก่ เด็กฝาแฝด เด็กที่ถูกเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมหลายภาษา(bilingualism) ลำดับพี่น้อง (birth order) ภาวะเส้นยึดใต้ลิ้นสั้น (tongue tie) เป็นต้น โดยภาวะเส้นยึดใต้ลิ้นสั้น อาจมีส่วนที่ทำให้เด็กพูดไม่ชัด โดยเฉพาะเสียงที่ต้องกระดกลิ้น แต่ไม่ทำให้เด็กพูดช้า นอกจากนี้ ประวัติการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมมักเป็นปัจจัยร่วมในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะพูดช้า ประวัติการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมที่อาจจะเป็นสาเหตุโดยตรงของการพูดช้า มักต้องเป็นการละเลยที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น เด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ หรือเด็กที่ถูกทารุณกรรม เป็นต้น
อ้างอิง