พัฒนาการของการเล่น ตามพัฒนาการเด็ก
พัฒนาการและประเภทของการเล่นช่วยให้นักการศึกษาเข้าใจพฤติกรรมการเล่นของเด็กมากยิ่งขึ้น มีนักจิตวิทยา นักการศึกษาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการและรูปแบบของการเล่นไว้ดังนี้
Sutton-Smith (1972) จำแนกได้ 4 แบบ คือ
การเล่นเลียนแบบ (Imitation) การเล่นเลียนแบบเป็นการสะท้อนให้ผู้อื่น มองเห็นการรับรู้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของผู้เล่น ในด้านที่เกี่ยวกับตัวเด็ก การเล่นเลียนแบบช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่ได้รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส ซึ่งเด็กอาจยังไม่เข้าใจหรือรู้ความหมายได้ในทันที่ที่รับรู้
การสำรวจ (Exploration) เป็นการเล่นตามความสนใจ ความสงสัย และ ความใคร่รู้ในสิ่งรอบตัวต่าง ๆ เป็นรากฐานของการเล่นแบบทดสอบ หากครูหรือผู้ปกครองสามารถสนับสนุนการเล่นของเด็กอย่างถูกวิธีก็จะทำให้เด็กได้รับการพัฒนาต่อไป
การทดสอบ (Testing) เด็กจะอาศัยความรู้ใหม่ที่ได้จากการสำรวจและความรู้เดิมจากประสบการณ์ที่คุ้นเคยเป็นรากฐานในการเล่นสัญลักษณ์ สิ่งที่เด็กได้สำรวจศึกษาแล้วจะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กนำมาเล่นเพื่อทดลองดูว่า คุณสมบัติของของเล่น และวิธีการเล่นที่วางไว้จะเป็นไปตามที่ เขาคิดหรือไม่
การสร้าง (Construction) เป็นการเล่นที่ผู้เล่นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะต่าง ๆ เช่น การจัดทำของเล่น โดยการเอาก้านกล้วยมาหักส่วนบนลง ตกแต่งทำเป็นหัวแล้วใช้ขี่เล่น การสร้างสถานการณ์การเล่นโดยการสร้างเรื่องและการเล่นตามเรื่อง การวางกฎเกณฑ์การเล่นโดยกำหนดบทบาทของผู้เล่นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงจากของเดิม
Piaget (1962) กล่าวว่า เด็กจะเรียนรู้ผ่านกระบวนการรับรู้และกระบวนการคิด ซึ่งการเล่นของเด็กจะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทั้งกระบวนการรับรู้และกระบวนการคิด เช่น การที่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เล่นในลักษณะที่เป็นการฝึกหัดและการแสดง จะช่วยให้เด็กได้แสดงบทบาทสมมุติ ทั้งที่ตามหลักของพัฒนาการแล้วเด็กยังไม่สามารถทำได้ แต่เขาก็ทำได้ เพียเจท์จึงกล่าวว่าการเล่นมีผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก คือช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างการรับประสบการณ์ใหม่และการปรับประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ เมื่อ 2 กระบวนการนี้สมดุลจะช่วยให้เกิดการพัฒนาทางสติปัญญา
นภเนตร ธรรมบวร (2546) กล่าวเพิ่มเติมถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์โดยแบ่งลำดับขั้นของการเล่นเป็น 3 รูปแบบดังนี้
การเล่นซ้ำ ๆ (Sensorimotor play) การเล่นชนิดนี้มีความสำคัญมากสำหรับเด็กวัยทารกและวัยเตาะแตะ พบมากในเด็กแรกเกิดถึง 2 ปี เนื่องจากเด็กจะพัฒนาทักษะทางสติปัญญาได้ จากการลงมือทำผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ เด็กจะเชื่อมโยงการกระทำในครั้งแรก และคาดเดาการกระทำที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป การเล่นซ้ำ ๆ ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าการกระทำอย่างเดียวกันให้ผลที่เหมือนกัน และช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในการใช้ทักษะทางร่างกาย เช่น การขว้างบอล การกระโดดเชือก ปัญหาการใช้งานตามลักษณะของเครื่องเล่นสนาม
การเล่นแบบสัญลักษณ์ (Symbolic play) หมายถึงการเล่นที่ผู้เล่นใช้วัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งแทนวัตถุอีกชนิดหนึ่ง เพียเจท์ถือว่าการเล่นชนิดนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของขั้นพัฒนาการทางสติปัญญา หรือความคิดที่เรียกว่า pre-operation intelligence การเล่นแบบสัญลักษณ์นี้แบ่งได้ดังนี้
การเล่นบทบาทสมมติ (Dramatic Play) การเล่นชนิดนี้จะเริ่มเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ โดยเด็กจะเล่นบทบาทสมมุติตามจินตนาการของเด็ก การเล่นชนิดนี้ช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึงสิ่งที่ตนรับรู้และมีประสบการณ์ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาให้กับเด็ก
การเล่นสร้างสรรค์ คือ การที่เด็กทำวัตถุชิ้นหนึ่งมาเป็นตัวแทนของวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง การเล่นชนิดนี้เป็นที่นิยมมากสำหรับเด็กปฐมวัย เนื่องจากช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะและความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์ มิติสัมพันธ์ นอกจากนั้นยังช่วยให้เด็กพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก ในการเล่นแบบสร้างสรรค์ เด็กจะได้ใช้จินตนาการหรือความคิดในเชิงนามธรรมน้อยกว่าการเล่นบทบาทสมมุติ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เด็กสร้างหรือประดิษฐ์มีความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกับภาพในสมองของเด็ก ดังนั้นการเล่นบทบาทสมมุติจึงซับซ้อนมากกว่าเพราะเด็กจำเป็นต้องใช้ท่าทาง ภาษา และวิธีการอื่น ๆ อีกมากมายในการสื่อสารบทบาท รวมถึงความตั้งใจของตน อย่างไรก็ตาม เด็กอาจมีการเล่นสลับไปสลับมาระหว่างการเล่นสร้างสรรค์ และการเล่นบทบาทสมมุติ และดำเนินต่อเนื่องไปจนสู่วัยผู้ใหญ่
การเล่นแบบมีกฎเกณฑ์ (Games with rules) การเล่นชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อเด็กสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้อย่างดี เช่น มอญซ่อนผ้า งูกินหาง
การเล่นที่สื่อความคิดความเข้าใจ (Reflective Stage) คือ เมื่อเด็กอายุประมาณ 7 ขวบ เด็กจะมีการต่อเติมความคิด การเกิดความคิดรวบยอดมีมากขึ้นและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการพัฒนาการรับรู้ที่สามารถจัดหมวดหมู่หรือประเภทของวัตถุหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ตลอดจนมีการพัฒนาด้านภาษาทำให้สามารถที่จะสื่อความเข้าใจกับบุคคลอื่น การเล่นส่วนใหญ่ในระยะนี้จึงเป็นไปในรูปการเล่นที่มีกฎเกณฑ์และขั้นตอนเข้ามาเกี่ยวข้อง
Parten (1972) ได้แบ่งระดับการเล่นของเด็กตามการมีส่วนร่วมทางสังคมไว้ดังนี้
พฤติกรรมการไม่เล่น (Unoccupied Behavior) หมายถึง การนิ่งเฉย ไม่เล่นกับใคร และไม่เล่นของเล่น แต่จะสนใจสิ่งหนึ่งในระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเด็กก็จะเล่นกับร่างกายของตนเอง บางครั้งอาจมีการปั่นขึ้นลงเก้าอี้ ยืนเฉย ๆ หรือ มองไปรอบ ๆ
พฤติกรรมการเฝ้าดู (Onlooker behavior) หมายถึง เด็กที่เฝ้ามองดูเพื่อน ขณะที่เพื่อนกำลังเล่น เด็กกลุ่มนี้ยังไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจเข้าไปเล่นในกลุ่มกับเพื่อน แต่เรียนรู้การเล่นจากการเฝ้ามองเพื่อน
การเล่นลำพัง (Solitary play) การเล่นชนิดนี้เด็กจะเล่นตามลำพังหรือเป็นอิสระจากบุคคลรอบข้างโดยปราศจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น พาร์เทนกล่าวว่าการเล่นตามลำพัง เป็นการเล่นที่ไม่ซับซ้อน การเล่นชนิดนี้เด็กจะมีสมาธิอยู่เฉพาะที่การเล่นของตนเองเท่านั้น ในขณะเล่นเด็กอาจพูดกับตนเอง
การเล่นคู่ขนาน (Parallel play) เป็นการเล่นที่เด็กนั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ กันแต่ต่างคนต่างเล่น อาจมีการพูดคุยกัน แบ่งของเล่นกัน เลียนแบบการเล่นของกันและกัน หรือเฝ้าดูกันอย่าง ใกล้ชิด
การเล่นแบบไม่กำหนดบทบาท (Associative play) เป็นการเล่นพื้นฐานของการเล่นแบบรวมกลุ่ม โดยเด็กจะเล่นในกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่ใช่กิจกรรมเดียวกัน มีการแบ่งปันของเล่น และพูดคุยเกี่ยวกับการเล่น
การเล่นร่วมกัน (Cooperative play) เป็นการเล่นทางสังคมที่มีความซับซ้อนมากที่สุด เด็กต้องใช้ความพยายามในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างการเล่นเริ่มตั้งแต่การแบ่งของเล่นกับเพื่อนคำนึงที่ความต้องการเหมือนกัน การเล่นเป็นบทบาทต่าง ๆ การปฏิบัติตามกติกาการเล่น และพยายามประนีประนอมให้การเล่นดำเนินต่อไป เนื้อหาในการสนทนาจะเน้นที่การเจรจาประนีประนอม และการอธิบาย ในการเล่นระดับนี้จะมีเด็ก1-2 คน ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการเล่นและควบคุมการเล่น
Mason (1982) กล่าวว่า การเล่นมีหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถจำแนกการเล่นออกเป็น 3 แบบดังนี้
กิจกรรมทางกาย (Physical Activity) เช่น การวิ่ง การกระโดด การเหวี่ยง การปีน การคลาน ความสมดุล การว่ายน้ำการขว้าง การเตะ กิจกรรมเหล่านี้ไม่มีรูปแบบแต่รวมอยู่ในเกม หรือการเล่นที่ไม่มีแบบแผนเป็นการเล่นอิสระ ถ้าสิ่งแวดล้อมสามารถช่วยให้เด็กพัฒนาเป็นรายบุคคลก็ถือว่าเป็นการเล่น การวางแผนในการสร้างพื้นที่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะพื้นที่ในการเล่นช่วยให้เกิดการเล่นที่หลากหลาย ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน ดังนั้นการออกแบบพื้นที่ในการใช้สนามเด็กเล่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น
การเล่นสมมุติ (Pretending) เป็นส่วนสำคัญในการเล่นของเด็ก การแสดงเป็นบทบาทต่าง ๆ ช่วยให้เด็กเกิดจินตนาการ เด็กอาจสมมุติว่าถ้าเราโตขึ้นเราจะเป็นอย่างไร บทบาทของพ่อแม่ในที่ทำงาน ซึ่งการเล่นจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน ดังนั้นสภาพแวดล้อมในการเล่นจึงจำเป็นต้องยืดหยุ่นและสามารถดัดแปลงการเล่นได้หลากหลาย
การเล่นสร้างสรรค์หรือการสร้าง (Creative or Construction) การเล่นรูปแบบนี้ต้องการพื้นที่น้อยกว่าการเล่นแบบอื่น ๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านสนามเด็กเล่นกล่าวว่า การเล่นแบบนี้ ช่วยให้พื้นที่ที่ไม่ใช้งานให้ใช้ประโยชน์ การเล่นแบบนี้ช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้สนามเด็กเล่น ช่วยให้เด็กไม่เบื่อ สนามเด็กเล่นควรมีสถานที่อำนวยความสะดวกในการเล่นของเด็กมากที่สุด
ที่มา : พัชรินทร์ ลิ้มสุปรียารัตน์, สภาพและปัญหาการจัดสนามเด็กเล่นในโรงเรียนอนุบาล กรุงเทพมหานคร, ครุศาสตร์มหาบัณฑิต (การสอนและเทคโนโลยีการศึกษา), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549