แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่น
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่นเป็นหลักสำคัญที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมการเล่นของเด็ก มี นักจิตวิทยา นักการศึกษาและนักปรัชญา นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่นสามารถสรุปได้ดังนี้
ทฤษฎีของ Karl Gross (อ้างถึงในภรณี คุรุรัตนะ, 2535) เชื่อว่า ร่างกายใช้พลังงานในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ตามต้องการ การเล่นเป็นความต้องการอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีพลังงานเหลือใช้จากการประกอบการงานแล้ว คือร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำงานก่อนแล้วจึงนำพลังงานที่เหลือมาใช้ในการเล่น กรอสได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเล่นเป็นกระบวนการทางสัญชาตญาณ ซึ่งแนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อประสบการณ์ในช่วงต้นชีวิตของเด็ก เพราะการที่เด็กได้มีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ในการเล่นนี้ จะมีผลต่อชีวิตของเด็กในอนาคต การที่เด็กมีโอกาสเล่นมาก จะทำให้เด็กได้ฝึกทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตเมื่อโตขึ้น ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ จะช่วยให้เด็กสามารถควบคุมความสามารถของตนเองและสภาพแวดล้อมได้ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ และสติปัญญา ส่วนเด็กที่ขาดประสบการณ์ในการเล่นก็จะขาดทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิต
ทฤษฎีของ Patrick (อ้างถึงในภรณ์ คุรุรัตนะ, 2535 ) พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นโดยอาศัยแนวความคิดที่ว่าการเล่นคือ การสนองความต้องการที่จะผ่อนคลายความเครียดทางอารมณ์ โดยกล่าวว่า ในสภาพของสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปรียบเทียบผลงาน ซึ่งต้องการคนที่มีเหตุผลในลักษณะรูปธรรม มีความตั้งใจสูง มีความละเอียดอ่อน ทำให้เกิดความเครียดซึ่งนำไปสู่ความผิดปกติทางระบบประสาท การเล่นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน ถึงแม้ว่าเด็กไม่ต้องทำงานแต่การเล่นก็เป็นเรื่องธรรมชาติของเด็ก
ทฤษฎีของ Frued (1965) เชื่อว่าการเล่นเกิดจากการต้องการความพึงพอใจ ซึ่งการที่เด็กจะบรรลุถึงความพึงพอใจได้นั้นจะต้องตอบสนองด้วยการเล่น ฟรอยด์ยังได้มองเห็นว่าการเล่นยังมีคุณค่าอย่างมากในด้านของการบำบัด เพราะการเล่นจะช่วยให้เด็กสามารถลดความไม่พึงพอใจได้
ทฤษฎีของ Erickon (1950) อธิบายการเล่นของเด็กว่าเป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลก โดยการค้นพบสิ่งใหม่และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น อิริคสันแบ่งขั้นตอนของพัฒนาการเล่นของเด็กออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1) การเล่นเกี่ยวกับตนเอง เริ่มตั้งแต่แรกเกิด โดยที่ศูนย์กลางของการเล่นนั้นอยู่ที่ตัวเด็กเอง ซึ่งในระยะแรกนั้นเราอาจจะไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เด็กทำนั้นเป็นการเล่นของเด็ก เพราะการเล่นในระยะนี้จะเริ่มจากการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ซ้ำ ๆ รวมไปถึงการส่งเสียง ซึ่งต่อมาเด็กทารกจะมุ่งความสนใจในการเล่นออกไปที่คนอื่นหรือสิ่งอื่น ๆ การเล่นเกี่ยวกับตนเองนั้นเป็นการเริ่มต้นที่จะเรียนรู้ลักษณะต่าง ๆ ของโลกที่เด็กอาศัยอยู่
2) การเล่นกับสภาพแวดล้อม เด็กจะเล่นกับของเล่นและวัตถุต่าง ๆ รอบตัว โลก ของสิ่งของนั้นมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เด็กจะต้องเรียนรู้ เช่น ของเล่นชิ้นนี้อาจแตกสลายได้ ของเล่นชิ้นนี้ อาจเป็นของคนอื่นได้ เด็กอาจจะถูกควบคุมจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง
3) การเล่นกับสังคม เด็กเริ่มเข้าไปอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น รู้จักการแบ่งปันของเล่นกับผู้อื่น ความสำเร็จในขั้นนี้จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความสำเร็จในการพัฒนาในสองขั้นแรก ในขั้นนี้เด็กจะรู้ว่าเมื่อไรต้องเล่นคนเดียว และเมื่อใดที่ควรจะเล่นกับผู้อื่น
ทฤษฎีของ Vygotsky (1976) เชื่อว่า การเล่นมีบทบาทโดยตรงต่อการพัฒนากระบวนการทางสติปัญญา โดยเด็กจะเรียนรู้แบบองค์รวมแบบไม่แยกส่วนจากกัน นอกจากนี้ไวกอตสกี้ยังมองว่าการเล่นเป็นเหมือนแว่นขยาย เพื่อช่วยเปิดศักยภาพของเด็ก ดังนั้นการเล่นจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาเด็กในทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน
ทฤษฎีของ Bruner (1972) กล่าวว่า การเล่นช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นมีความหมายต่อเด็กมากกว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการเล่น เช่น เมื่อเด็กกำลังเล่น เด็กจะไม่กังวลถึงจุดมุ่งหมายที่จะทำสำเร็จและไม่รู้สึกกดดันในการที่จะทำให้สำเร็จ แต่เด็กจะสามารถเชื่อมโยงพฤติกรรมของการเล่นมาใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้
จากการศึกษาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการเล่นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก เพราะการเล่นเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง รู้จักการแก้ปัญหาและเป็นกิจกรรมที่เด็กพอใจกระทำ
ที่มา : พัชรินทร์ ลิ้มสุปรียารัตน์, สภาพและปัญหาการจัดสนามเด็กเล่นในโรงเรียนอนุบาล กรุงเทพมหานคร, ครุศาสตร์มหาบัณฑิต (การสอนและเทคโนโลยีการศึกษา), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549