แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่น
การเล่นของเด็กเป็นแนวทางหรือวิธีการที่เด็กแปลและถ่ายทอดความหมาย ความเข้าใจและความรู้สึกที่เขามีต่อสิ่งและสถานการณ์การต่างๆรอบตัวออกมาเป็นการกระทำ เพื่อให้ตัวเองเรียนรู้และให้ผู้อื่นรับรู้ความสามารถของตน การเล่นต่างๆของเด็กจึงมีลำดับขั้นพัฒนาการที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจและทางสังคมของเด็ก
ในส่วนที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเล่นได้มีนักวิชาการกล่าวถึงไว้หลายทฤษฎี ดังนี้
1. โฮลสัน (เกษลดา มานะจุติ 2529 : 3-4 ; อ้างอิงมาจาก Olsan . 1959) ได้กำหนดทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่นเอาไว้พอ
สรุปได้ดังนี้ คือ
1.1 ทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการ (Recapitulation Throry) คือการที่เด็กแต่ละเผ่าพันธุ์นำเอากิจกรรมการเล่นของ
บรรพบุรุษมาพิจารณาทบทวน และปฏิบัติการเล่นเยี่ยงวิถีชีวิตของคนรุ่นเก่าเคยเล่นมาก่อน ด้วยสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นโอยอัตโนมัติอย่างมีเอกลักษณ์ในสังคมแห่งวัฒนธรรมนั้นๆ เช่น เด็กไทยนำเอาการเล่นมอญซ่อนผ้า งูกินหาง หรือขี่ม้าส่งเมืองมาเล่น โดยยึดตามกติกาเหมือนอย่างเช่นที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติมาก่อนในอดีต
1.2 ทฤษฎีสันทนาการ (Recreation Theory) หมายถึง การเล่นนั้นเป็นกิจกรรมที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
ในชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินมีอารมณ์เบิกบานแจ่มใส ช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยที่ดีให้กับมนุษย์ ตลอดจนเป็นกิจกรรมที่ใช้เป็นงานอดิเรกให้แก่เด็กได้
1.3 ทฤษฏีแห่งการเตรียมชีวิต (Preparation Theory) คือการเล่นเป็นกระบวนการที่จะช่วยเตรียมเด็กในวันนี้ให้
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันข้างหน้าจากการเล่นเด็กจะได้เรียนรู้บทบาทของคนในสังคมเรียนรู้ที่ใช้กลไกของร่างกายอย่างประสานสัมพันธ์กัน รู้จักการขบคิดการตัดสินใจ การแก้ปัญหา เรียนรู้ถึงประโยชน์และคุณค่าของโลกที่อาศัยอยู่ เข้าใจธรรมชาติของคน พืช สัตว์ และสิ่งของทั้งหลายอันเป็นความเข้าใจและทักษะพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นสำหรับเด็กเพื่อจะนำไปใช้ในชีวิตภายหน้า
จากทฤษฏีเกี่ยวกับการเล่นทั้ง3ทฤษฏีนี้ พอสรุปได้ว่า การเล่นช่วยทำให้เห็นวิธีการที่มีในอดีต แสดงถึงวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละท้องถิ่น และยังช่วยในการระบายความตึงเครียดของอารมณ์ เพราจะเกิดความสนุกสนานในขณะที่เด็กเล่น และยังช่วยขัดเกลาจิตใจขณะที่เด็กเล่นร่วมกัน รู้จักปรับตัวในขณะเล่นกับเพื่อนๆ
2. เพียเจต์ (เลขา ปิยะอัจฉริยะ 2545 : 21-22 ; อ้างอิงมาจาก Piaget. 1962) ได้แบ่งแยกพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจของเด็กออกเป็นลำดับขั้นของการพัฒนาการทางการเล่นตามแนวทฤษฏี มีดังนี้
2.1 ขั้นการเล่นที่ใช้ประสาทสัมผัส – ความรู้สึกและกลไกเคลื่อนไหวต่างๆ (Sensory Motor Stage) เนื่องจากใน
ขั้นแรกของการเจริญวัย เด็กยังไม่สามารถแยกตนเอง (Self) และสิ่งแวดล้อมให้ออกจากกันได้ เด็กเชื่อแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องรวมอยู่ที่ตนเอง ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องเป็นผู้กระทำ ลักษณะการเล่นจึงเป็นการกระทำหรือการเล่นย่อยๆ โดยไม่เบื่อหน่าย
2.2 ขั้นการเล่นที่ใช้สัญลักษณ์ (Representation Stage) เมื่อเด็กมีการพัฒนาในด้านสติปัญญาเพิ่มขึ้นตามวุฒิภาวะ
เด็กจะมีความสามารถในการตอบสนองความกระตือรือร้นใคร่รู้ใคร่เรียนและความต้องการใช้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นเป็น
ไปในแนวทางที่เริ่มรู้จักใช้ความคิดมโนภาพและจินตนาการให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเล่นของตนระยะเวลา2-7 ขวบ จึงเป็นระยะที่ความคิดในด้านสัญลักษณ์ของเด็กจะก่อรูปและพัฒนาขึ้น เด็กจะเอาใจใส่กับการเล่นที่มีการสมมติหรือกำหนดให้สิ่งเร้าต่างๆ รวมทั้งวัตถุของเล่นและตัวบุคคลมีฐานะเป็นตัวแทนสิ่งของและสถานที่เป็นจริงในชีวิต
2.3 ขั้นการเล่นที่สื่อความคิดความเข้าใจ (Reflective Stage) ครั้งอายุประมาน 7 ขวบ การต่อเติมความคิด การเกิดความคิดรวบยอดมีมากขึ้นและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เด็กจะมีพัฒนาการรับรู้ที่สามารถจัดหมวดหมู่หรือประเภทของวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆได้ ตลอดจนมีพัฒนาการทางด้านภาษามากพอที่จะสื่อความเข้าใจกับบุคคลอื่น การเล่นส่วนใหญ่ในระยะนี้จึงเป็นไปในรูปการเล่นที่มีกฎเกณฑ์และขั้นตอนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในตัวอย่างการเล่นบทพ่อ แม่ ลูกและหมอ จะมีการเขียนเป็นบทเป็นละครเป็นเรื่อง มีการขึ้นต้น ดำเนินเรื่อง และสรุปท้ายเรื่อง ภาษาที่ใช้ในการลำดับบท และขั้นตอนของเรื่องจะสะท้อนให้เห็นถึงการที่เด็กต้องรวบรวมและวางแนวความคิดเพื่อให้สอดคล้องกันอย่างมีเหตุผลและความเป็นไปได้และเพื่อให้สื่อความคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ
เพียเจต์ ยังได้ให้ข้อสังเกตว่า ในระยะ 4-7 ขวบ การเล่นที่ใช้สัญลักษณ์ ซึ่งเกิดจากความคิดคำนึงและความเห็นของเด็กจะเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ และเด็กจะปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงตามธรรมชาติรอบตัวได้
3. ฉวีวรรณ จึงเจริญ (ม.ป.ป. 2525) เสนอว่า พัฒนาการเล่นที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคม ซึ่งนักจิตวิทยาได้
แบ่งขั้นตอนการเล่นได้ 5 ขั้น ดังนี้
3.1 ขั้นเล่นลำพังคนเดียว(Solitary Play) เป็นการเล่นเพื่อแสวงหาประสบการณ์และทำความรู้จักคุ้นเคยกับ
สิ่งแวดล้อม เด็กจะเล่นคนเดียวแม้ไม่มีของเล่น ก็จะเล่นอวัยวะของตนเอง เช่น นิ้วมือ มือ แขน ขา ทำเสียง ส่งเสียง ถ้ามีของเล่นก็จะจับฉวยยึดเอาไว้เคาะ ฟาด หยิบจับ ซึ่งตามทฤษฎีของการเล่น เรียกว่า เด็กเล่น เพราะมีพลังส่วนเกิน เล่นเพื่อสนองความต้องการทางสรีระของตน จะเล่นกับผู้ใหญ่ใกล้ตัวที่ตนคุ้นเคยบ้างก็คือ พ่อแม่ พี่เลี้ยง เป็นการเล่นเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ที่ต้องอุ้มกอด เลี้ยงดูกันอย่างใกล้ชิดนั่นเอง
3.2 ขั้นกากรเล่นโดยดูคนอื่นเล่น (Spectation Play) เด็กจะเริ่มพัฒนาทักษะทางสังคมโดยการเฝ้าดูคนอื่นเล่น ดู
พี่ๆน้องๆเล่น นับว่าเริ่มจะเปลี่ยนจากการยึดตนเองเป็นศูนย์สนใจไปสู่ความรู้ที่พอจะร่วมกับคนอื่นได้ แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติร่วมด้วย ยกเว้นการเล่นกับผู้ใกล้ชิด พ่อแม่ พี่เลี้ยง เป็นการเล่นในเชิงปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือผู้ใกล้ชิดทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงซึ่งเด็กวัยนี้จะมีอายุในราว 1-2 ปี
3.3 ขั้นการเล่นแบบต่างคนต่างเล่น (Parallel Play) เป็นระยะที่เด็กสังเกตคนอื่นเล่นด้วย เริ่มสนใจคนอื่นเล่นแต่
ไม่เล่นด้วย บางทีเล่นของเหมือนๆกัน ทำตามกันเอาอย่างกันแต่ไม่แบ่งปันของเล่นกัน ปัญหาจึงมีเกิดขึ้น คือ แย่งของเล่นชนิดเดียวกัน ครูหรือผู้ใหญ่ต้องหาของเล่นให้เพียงพอ และฝึกให้รู้จักแบ่งของกันไม่แย่งกัน เด็กในวัยนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 2-4 ปี
3.4 ขั้นการเล่นด้วยกันได้จับคู่เล่นได้ (Partnership Play) เด็กวัยนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 4-6 ปี เด็กเริ่มมีพัฒนาการทาง
สังคมมากขึ้น รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย พูดคุยกัน ปรึกษากัน จะทำอะไรด้วยกัน แบ่งปันของเล่นร่วมกัน เป็นการนำไปสู่ความร่วมมือในการเล่นเป็นหมู่คณะหรือเป็นกลุ่มอาจเป็นกลุ่มย่อยๆ 2-3 คน 3-4 คน 4-5-6 คน แต่ในกรณีกลุ่มใหญ่อาจจะมีกิจกรรมการเล่นที่มีกิจกรรมย่อยๆร่วมอยู่ด้วย การเล่นในลักษณะนี้จะนำไปสู่การเล่นในเชิงความร่วมมือ (Co-operative play) ซึ่งนำไปสู่กฎเกณฑ์กติกาเล็กๆน้อยๆในการเล่นเกมชนิดต่างๆ กับเพื่อนๆ
3.5 ขั้นการเล่นเป็นกลุ่มเป็นทีม (Group Play) เด็กวัยนี้อายุ 6-12 ปี จะเล่นรวมกลุ่มกันเป็นทีม ถ้ามีการเข้าใจ
กติกา ยอมรับกฎเกณฑ์ มีการแข้งขั้น รู้จักแพ้ชนะได้ รู้จักใช้เหตุใช้ผล และมีการตัดสินใจประกอบการเล่นได้ เพื่อให้มีกระบวนการเล่นเป็นกลุ่ม มีการปรึกษาหารือหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อที่จะไห้พบกับความสำเร็จหรือชัยชนะในการเล่นเกม เป็นวันที่เหมาะที่สุดที่ปลูกฝังการรู้จักยอมรับการแพ้การชนะอย่างมีน้ำใจรักกีฬา นอกจากนั้นยังฝึกการรับผิดชอบในหน้าที่การแบ่งหน้าที่กันทำทั้งในเวลาก่อนเล่นและภายหลังการเล่น
ดังนั้นพัฒนาการเล่นทางสังคมในระยะแรก เด็กจะถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของความสำคัญ เนื่องจากพัฒนาการทางการใช้ภาษายังไม่อยู่ในขั้นที่จะใช้ภาษาเป็นสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตามตนได้ และเด็กยังยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองเพื่อรู้จักตนเอง การเล่นจึงมึกเป็นการเล่นคนเดียว ต่อมาเมื่อเด็กได้รู้จักและสร้างตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาบ้างแล้วโดยสามารถแยกสิ่งแวดล้อมต่างๆออกได้ว่าแตกต่างกันหรือเหมือนกัน เด็กจึงเริ่มที่จะสนใจและต้องการเล่นด้วยกันกับเด็กอื่นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปเมื่อยังไม่รู้จักการเล่นด้วยกันก็ได้แต่เล่นคนเดียวอยู่ใกล้ๆ ต่อมาพยายามเข้าร่วมเล่นโดยการเล่นเหมือนๆกัน โดยยอมเป็นผู้ตามและในที่สุดก็เข้าร่วมเล่นด้วยกันโดยตนเองมีโอกาสเป็นผู้นำละมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นบ้าง
4. มอร์ริสัน (Morrison. 1995 : 257) แบ่งการเล่นดังนี้
4.1 การเล่นทางสังคม (Social Play) จะเกิดขึ้นขณะเด็กเล่นกับเด็กอื่นในกลุ่มโดยแบ่งการเล่นออก
เป็น 6 ประเภท คือ
4.1.1 การเล่นที่ไม่มีการใช้อุปกรณ์ (Unoccupied Play) เด็กไม่ได้สิ่งกับใคร สิ่งใดหรือใคร เด็กอาจจะนั่ง
หรือยืน โดยไม่ทำอะไรที่สังเกตเห็นได้
4.1.2 การเล่นตามลำพัง (Solitary Play) เด็กจะเล่นคนเดียวโดยไม่สนใจผู้อื่น