นโยบาย และแนวคิดการศึกษาปฐมวัย เตรียมอนุบาล ของญี่ปุ่น
ในญี่ปุ่นมีหน่วยงานทำหน้าที่ดูแลและดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัย 2 กระทรวง และ 1 สำนักงาน แต่หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวคิดของการศึกษาปฐมวัยคือกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นเห็นว่า การศึกษาปฐมวัยในโรงเรียนอนุบาลเป็นการเสริมสร้างพื้นฐานการเรียนรู้และการใช้ชีวิตทั้งในระดับโรงเรียนประถมศึกษาและระดับที่สูงขึ้น กระทรวงฯ ได้กำหนดแนวทางการเรียนการสอนแบบกว้าง ๆ โดยไม่ละเอียดเท่ากับระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เนื่องจากการศึกษาระดับปฐมวัยมิใช่การศึกษาภาคบังคับ เช่น
มีการแนะนำให้ใช้การเล่นและกิจกรรมเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน แทนที่จะใช้กระดานและกระดาษ
ครูผู้สอนจะเข้าไปร่วมเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ที่กระทรวงฯ ต้องการให้บรรลุสำหรับการศึกษาระดับปฐมวัยมี 5 ด้าน คือ (MEXT, 2009)
1. การมีจิตใจและร่างกายที่แข็งแรง ด้วยการเสริมสร้างให้ร่างกายมีพละกำลัง เช่น ให้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่ในสนามของโรงเรียน เป็นต้น และสร้างนิสัยการใช้ชีวิตประจำวันที่ดี เช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร เป็นต้น
2. การเป็นตัวของตัวเองและความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การฝึกให้เป็นตัวของตัวเอง เช่น ฝึกให้เกิดความต้องการทำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยตัวเอง ฝึกให้คิดด้วยตัวเองก่อนลงมือทำ เป็นต้น
3. การมีพื้นฐานความสามารถในการคิด ด้วยการสร้างพื้นฐานความสามารถในการคิด เช่น ให้ลองคิดทดลองหรือดัดแปลงระหว่างการเล่น ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาความสามารถในการคิด รวมทั้งพยายามให้เด็กมีความสนใจในเรื่องคณิตศาสตร์ เช่น ให้เด็กหัดนับจำนวนสิ่งของหรือคนระหว่างการเล่น
4. การเข้าใจภาษา เน้นการพูดและฟัง เช่น ให้เด็กสนุกสนานกับการพูดคุยสนทนากับเพื่อนและครู จนเด็กสามารถเล่าเรื่องหรือพูดให้คู่สนทนาเข้าใจได้ และเมื่อคุ้นเคยกับเพื่อนมากขึ้น เด็กก็จะมีความสนใจที่จะรับฟังเรื่องราวของเพื่อน และพยายามทำความเข้าใจ
5. ความสามารถในการแสดงออก ความรู้สึกและความสามารถในการรับรู้จะพัฒนาดีขึ้นได้ด้วยการให้เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติ จากนั้นจึงให้เด็กแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านั้นโดยผ่านการเล่นหรือวาดรูป จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 2012 พบว่า มีโรงเรียนอนุบาลภายใต้การดูแลของกระทรวงฯ ทั้งสิ้น 13,170 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นของเอกชน (ดูตารางที่ 2) สัดส่วนของจำนวนโรงเรียนเด็กนักเรียน และครูของโรงเรียนเอกชนคิดเป็นร้อยละ 62.2, 82.0 และ 78.2 ตามลำดับ นอกนั้นเป็นของรัฐบาลซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ที่เป็นของรัฐ (ทั้งหมดเป็นโรงเรียนอนุบาลสาธิตของมหาวิทยาลัยรัฐ) และขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากข้อมูลนี้ จะเห็นได้ว่าสถานศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยภายใต้สังกัดของกระทรวงศึกษาธิการมีสัดส่วนที่น้อยมาก ประกอบกับการที่กระทรวงฯ เพียง
ให้คำแนะนำด้านการเรียนการสอนโดยไม่มีรายละเอียดหลักสูตร การศึกษาระดับนี้ของญี่ปุ่นจึงมีความแตกต่าง
กันมากระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครองต้องเลือกว่าจะส่งบุตรหลานของตนเข้าที่โรงเรียนประเภทใด ความหลากหลายในการจัดการศึกษาปฐมวัยของญี่ปุ่นดูเสมือนจะเป็นปัญหา แต่ในความเป็นจริงก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ ซึ่งอาจสรุปลักษณะพิเศษของการศึกษาปฐมวัยของญี่ปุ่นได้ดังนี้ (お茶の水大 学子ども発達教育研究センター(RCCADE) 編, 2004)
1. การศึกษาปฐมวัยของญี่ปุ่นมีหลายแนวคิดหลายสำนัก มีทั้งที่เน้นการเรียนรู้ทางวิชาการ และเน้น
การสร้างเสริมทักษะการใช้ชีวิตในสังคม แต่ละแนวคิดมีวิธีการเรียนการสอนของตนเอง โดยปรับใช้อย่างยืดหยุ่นให้เข้ากับลักษณะและพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน
2. การศึกษาปฐมวัยของญี่ปุ่นมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบสถานเลี้ยงดูเด็ก หรือแบบโรงเรียนเตรียมประถม
การดำเนินการของแต่ละรูปแบบมีอิทธิพลและช่วยกระตุ้นโรงเรียนรูปแบบอื่น มีการเลียนแบบรูปแบบที่ดี
ซึ่งกันและกัน แต่ก็มีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมนำรูปแบบที่ดีของโรงเรียนอื่นมาใช้
3. ครูที่สอนในสถานศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยและอาจารย์หรือนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด มีการประเมินการเรียนการสอนและปรับปรุงร่วมกัน ครูบางคนที่ได้ไปศึกษาต่อเพิ่มเติม และผันตัวมาเป็นอาจารย์หรือนักวิจัยในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย ก็ยังมาท