การจดจ่อกับเทคโนโลยีมากเกินไป ส่งผลต่อการเรียนรู้ของสมองและความจำอย่างไร
ถ้าสมอง “ติดกับ” อยู่นานเกินไป อาจสูญเสียโอกาสค้นพบตัวเอง
โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อคนเรากำลังสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เราสนใจการวิ่งแข่งขัน เราจะเกิดความตั้งใจบางอย่าง และเริ่มใช้สมองคิดว่าสนามแข่งเป็นอย่างไร ? ใครกำลังแข่ง ใครแพ้ ใครชนะ คะแนนรวมแต่ละฝ่ายเป็นเท่าไร สมองจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยในขณะนี้
แต่ถ้ามีข้อมูลที่น่าสนใจกว่าแทรกเข้ามา เช่น วงดนตรีมาตั้งอยู่ติดกับสนามแข่ง หรือมีคนมาเล่นมายากล สมองอาจหันไปสนใจสิ่งที่เข้ามาใหม่นี้ ตั้งใจพิจารณาดูจนเข้าใจบริบทของข้อมูลใหม่ ถ้าปรากฏว่า ข้อมูลใหม่ไม่น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่กำลังดูอยู่ สมองก็เบนความสนใจกลับมาที่เดิม ความสนใจใหม่ในสิ่งต่างๆนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา และมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง พอคุ้นเคยดีแล้ว ก็มักมีแนวโน้มจะหันไปสนใจสิ่งใหม่ๆต่อไปอีก
การสนใจสิ่งหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปสนใจอีกสิ่งหนึ่งนี้ เป็นธรรมชาติที่สำคัญของสมอง และไม่เหมือนกันในแต่ละคน ความสนใจเปิดโอกาสให้สมองเปิดรับข้อมูลต่างๆ และเรียนรู้ นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่จะก่อรูปและพัฒนาความเป็นเอกลักษณ์ และสร้างตัวตนที่ต่างกัน สร้างความสนใจ ความตั้งใจ สมาธิจดจ่อ ความมุ่งมั่นเฉพาะตัวของเด็กขึ้นมาในที่สุด รวมทั้งจะพัฒนาความเชื่อมั่นในตัวเองของเด็กขึ้นมาด้วย
แต่จากงานวิจัยดังกล่าว นักวิจัยพบว่า การใช้สมองอยู่กับหน้าจออินเทอร์เน็ตนั้นไม่สามารถให้ความสนใจ สมาธิจดจ่อได้อย่างเต็มที่ ต่อข้อมูลที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องรวดเร็วพร้อมๆกันหลายข้อมูล สมองอยู่ในภาวะที่ติดกับอยู่กับการกวาดความสนใจเพียงบางส่วนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ข้อมูลที่ผุดขึ้นมาบนหน้าจอ กระตุ้นให้สมองทำอะไรสักนิดหนึ่ง เช่น พิมพ์ข้อความตอบแชตตอบเพื่อนคนนี้ แล้วรีบหันไปอ่านข้อความที่อีกคนส่งมา ขณะที่เหลือบไปดูรายชื่อเพื่อนอีกคน หรือเลือกว่ารายการที่เซิช หรือค้นหาไว้นั้น น่าจะเป็นรายการใด สมองอยู่ในภาวะที่ต้องตื่นตัวตลอดเวลาต่อข้อมูลที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง ต้องทำสิ่งต่างๆ ทีละนิดทีละน้อยพร้อมๆกัน นับเป็นสภาวะที่ก่อให้เกิดความเครียดแก่สมองอย่างสูงอย่างหนึ่ง

ในภาวะที่สมองเครียด แต่ทำและอยากทำสิ่งนี้ต่อไปนานๆ นั้น ก็เหมือนสมองในภาวะ “ท้าทาย” โดยทั่วไป ระบบต่างๆ ในสมองจะถูกกระตุ้น และตราบเท่าที่ความรู้สึกว่าตัวเองคุมสถานการณ์ได้อยู่ในความท้าทายนั้น ทุกสิ่งก็ยังจะดูปกติ แต่สมองไม่ได้ถูกสร้างมาให้รับกับสภาพความเครียดดิจิทอลแบบนี้ได้อย่างไม่มีขอบเขต ถึงจุดหนึ่ง สมองอาจรับมือต่อไปไม่ไหว และเริ่มผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่หน้าจออินเทอร์เน็ตนานๆพอได้พัก อาจรู้สึกได้ถึงอาการโหวงเหวง ตัวเขาอ่อนล้า และหงุดหงิดง่าย เรียกภาวะนี้ว่า “ตื้อจากเทคโนโลยี”
ในภาวะที่เครียดจนล้า หรือเครียดจนเกินพอดีนี้ ฮอร์โมนและสารเคมีในระบบความเครียดจะทำงาน ซึ่งในระยะแรกจะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่างๆ ทำงานดีขึ้น แต่หากเครียดต่อเนื่องไปนานๆ จะเกิดผลเสียต่อสมองส่วนต่างๆ ได้แก่ สมองส่วนหน้าและฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้และสร้างความจำ
มีการวิจัยอื่นจากมหาวิทยาลัยแมคกิล โดยโซเนียเจ ลูแปง และคณะ ได้ค้นพบว่า ขนาดของฮิปโปแคมปัสของคนเรา มีความสัมพันธ์กันกับความเชื่อมั่นและพอใจตนเอง ผู้ใหญ่ที่รู้สึกว่าตัวเองดูแลควบคุมชีวิตตนเองได้ดี หรือเชื่อมั่นในตนเองนั้นจะมีฮิปโปแคมปัสขนาดใหญ่กว่าฮิปโปแคมปัสในผู้ที่ควบคุมชีวิตของตัวเองได้ไม่ดี
ดังนั้น ก็สรุปได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความสามารถในการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกในทางบวกต่อชีวิต หรือความสุขอย่างใกล้ชิด ปัญหาที่เกิดกับฮิปโปแคมปัส เป็นปัญหาต่อการเรียนรู้ และนำไปสู่ปัญหาในกาดำเนินชีวิตในที่สุด
ประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ เทคโนโลยีอาจทำให้เกิดความเครียดต่อสมอง และนำไปสู่ความเสียหาย เช่น ความเสื่อมของฮิปโปแคมปัส อันมีผลต่อการเรียนรู้ อย่างไรก็ดีความเครียดดังกล่าวอาจแก้ไขได้ง่ายๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ฮาวาร์ดกล่าวว่า เพียงแต่เปลี่ยนสลับความสนใจไปสู่สิ่งอื่นหรืองีบหลับพักเป็นช่วงๆ ก็สามารถบรรเทาความเครียด และความเสียหายที่จะเกิดจากความเครียดนี้ได้
การที่เด็กต้องถูกกระตุ้นให้อยู่กับเทคโนโลยีนั้นคงมีข้อดีอยู่มาก แต่มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าเมื่อสมองถูกกระตุ้นให้อยู่กับเทคโนโลยีนั้นนานมาก สมองก็ต้องรับข้อมูลยาวนานติดต่อกัน โดยไม่มีการพักช่วง หรือเปลี่ยนความสนใจไปเป็นอย่างอื่นที่สำคัญก็คือ สมองในยุคเทคโนโลยีนั้น อาจไม่ได้ใช้ศักยภาพในการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หรือตรึกตรองสิ่งใดๆ อย่างจริงจัง จนสามารถก่อรูปความเข้าใจธรรมชาติของโลกแท้จริงได้ เราจึงควรระวังเรื่องนี้และเปิดโอกาสให้สมองได้มีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริงกับสิ่งแวดล้อมในสังคมที่มีตัวตนแท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากจะมีผลดีต่อพัฒนาการของเด็ก และการค้นพบตัวตนของเด็กเอง
กุญแจสำคัญ
1.ไม่ควรให้เด็กต่ำกว่าชั้นประถมดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เฉลี่ยเกินกว่าวันละ 1 ชั่วโมง กล่าวคือ ควรเปิดโทรทัศน์ให้ดูเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม
2.ขณะที่เด็กดูโทรทัศน์ ผู้ใหญ่ควรหาเวลาอยู่กับเด็ก และควรสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ สำหรับคอมพิวเตอร์ต้องดูแลการเลือกเกมอย่างใกล้ชิด
3.อย่ากลัวว่าเด็กจะตามโลกไม่ทันถ้าไม่ได้ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกม เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้ดีกว่าผู้ใหญ่มากกว่า
4.ขณะใช้อินเทอร์เน็ต แนะนำให้เด็กหาเวลาพักเป็นช่วงๆเช่น ทุก 20 นาที โดยการยืนยืดเส้นยืดสาย งีบหลับ พักผ่อน ออกไปกลางแจ้ง เปลี่ยนบรรยากาศ ก่อนจะเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตอีก
อ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ความลับสมองของลูก. กรุงเทพ : สำนักงาน, 2552