นมแม่ มีประโยชน์มากจริงๆ ทารกที่ดื่มนมแม่ มีการพัฒนาไอคิวที่สูงขึ้น

เซลล์สมองในทารกถูกสร้างขึ้นพร้อมกับวงจรซึ่งเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์เหล่านั้นจำนวนมาก จากนี้ไปสัมผัสรับรู้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแตะต้อง ร้อนเย็น ภาพสีเสียง กลิ่นรส เหล่านี้จะเดินทางเข้าไปสู่สมอง และเป็นตัวกำหนดว่าเซลล์ใด การเชื่อมโยงใดจะถูกใช้งานและพัฒนาให้มีศักยภาพต่อไป หากการเชื่อมโยงไปไม่ถึงเซลล์ใดเซลล์เหล่านั้นก็จะถูกทิ้งให้ฝ่อตายไป
แสง เสียง ภาพ สัมผัสที่เด็กได้รับเข้ามานั้น ถูกเก็บไว้ในสมองในรูปของวงจร ที่เซลล์หนึ่งส่งข้อมูลไปยังอีกเซลล์หนึ่ง เซลล์แล้วเซลล์เล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ววันเล่า ในที่สุดกลุ่มแสง เสียง ภาพ สัมผัส ที่ได้รับบ่อยๆจะทำให้เส้นทางที่ส่งข้อมูลไปมาอยู่ในสมองนั้นผ่านไปมาได้สะดวก คล้ายกับถนนเล็กๆในหมู่บ้านที่ถูกใช้บ่อยขึ้นจนกลายเป็นถนนใหญ่
“ถนน” รับส่งข้อมูลเหล่านั้นคือใยประสาทแอกซอนเป็นแขนงที่ยื่นยาวออกจากตัวเซลล์สมอง เพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังเซลล์สมองตัวอื่น แอกซอนที่มีประสิทธิภาพมากจะมีไขมันมาเคลือบเอาไว้ เรียกว่า ไมอิลิน แอกซอนนำข้อมูลจาก หู ตา มือ เท้า ปาก ไปยังบริเวณต่างๆของสมอง ส่วนไหนใช้มากส่วนนั้นจะมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลมากตามไปด้วย

สมองจะสร้างวงจรเชื่อมโยงกันไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่า สร้างไว้เกินกว่าที่จะใช้จริง แล้วสมองจะจัดการ “ลิดทอน” ส่วนที่ไม่ใช้ทิ้งไปทีหลังวงจรเชื่อมโยงที่สร้างไว้ตั้งแต่วัยทารกนี้ จะเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเมื่อโตขึ้น เด็กอายุ 2 ขวบ มีการเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่างเซลล์ต่างๆในสมองเป็น 2 เท่าของผู้ใหญ่
ถ้าสมองรับรู้น้อยเกินไป เช่น เด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตามโรงพยาบาล เด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่เด็กที่ถูกปล่อยให้โตตามยถากรรม จะเหลือวงจรเซลล์สมองเอาไว้ใช้งานตอนโตสักเท่าไร
ในวัยทารกนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การได้ดื่มนมแม่มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ทารกที่ดื่มนมแม่มีไอคิวสูงกว่าเด็กทารกที่ดื่มนมขวดโดยเฉลี่ย 3-5 จุด ยิ่งทารกดื่มนมแม่เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสพัฒนาไอคิวได้มากขึ้นเท่านั้น นักวิจัยแนะนำว่า ทารกควรดื่มนมแม่นานถึง 9 เดือน เพื่อกระตุ้นพัฒนาการของสมองในปี พ.ศ. 2542 ศาสตราจารย์เจมส์ แอนเดอร์สัน กล่าวว่า ในนมแม่มีกรด DHA และ AA ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเติบโตเติบโตของเซลล์สมองที่ทำงานด้านการรับภาพและการเรียนรู้แต่นมผงที่ใช้เลี้ยงทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นไม่มีสารดังกล่าว
ปัจจุบันนี้มีการผสม DHA ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ ลงในนมผงแต่นักวิชาการโต้แย้งว่า อาจไม่มีประโยชน์เทียบเท่ากับนมมารดา
วัย 3 ขวบแรกเป็นช่วงวัยสำคัญสำหรับพัฒนาการของสมองยิ่งนัก ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกคือหัวใจสำคัญ งานวิจัยที่ช่วยอธิบายเรื่องนี้ได้ดี คือกรณีศึกษาเด็กกำพร้าชาวโรมาเนีย ในปลายทศวรรษ 1980 ก่อนหน้านั้น ทารกเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูรวมกันในโรงเลี้ยงเด็กขนาดใหญ่ แต่ไม่มีการดูแลเอาใจใส่ เด็กอยู่ในเตียงทั้งวันและไม่มีของเล่นใดๆ คนดูแลเด็กไม่มีเวลามาคุยเล่นหัวด้วย แม้ว่าต่อมา เด็กเหล่านี้จะถูกรับไปเลี้ยงดูโดยครอบครัวใหม่อย่างดี แต่ก็ยังพบว่า เด็กเติบโตขึ้นโดยมีปัญหาทั้งทางสังคมและอารมณ์
ขอขอบคุณข้อมูล
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ความลับสมองของลูก. กรุงเทพ : สำนักงาน, 2552 หน้า 1- หน้า 10