การปรับพฤติกรรมในเด็ก
พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล
วิธีการปรับพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรมอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้มาประยุกต์ โดยมีหลักการพื้นฐานว่า การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพ เด็กต้องมีความต้องการเรียน หากผลของพฤติกรรมทำ ให้เกิดความพึงพอใจ เด็กก็จะกระทำ พฤติกรรมนั้นซํ้า ในทางตรงข้าม ถ้าผลของพฤติกรรมไม่เป็นที่พอใจเด็กจะหลีกเลี่ยงไม่ทำ พฤติกรรมนั้น เมื่อมีการปรับพฤติกรรมอย่างสมํ่าเสมอ เด็กจะเกิดการเรียนรู้จนฝังแน่นเป็นรูปแบบของพฤติกรรม วิธีการปรับพฤติกรรมมีขั้นตอนดังนี้
1. เลือกพฤติกรรมที่ตอ้ งการ ผูใ้ หค้ ำ ปรึกษารว่ มกับพอ่ แมเ่ ลือกพฤติกรรมเพียงพฤติกรรมเดียว เน้นพฤติกรรมที่เห็นได้ชัด มีความถี่มาก มีผลกระทบมาก ตัวอย่างเช่น กรณีของตั้ม เราเลือกการทำ การบ้านเพราะสังเกตผลได้ชัด เด็กต้องทำ ทุกวัน หากไม่ทำ การบ้านเด็กก็ไม่อยากไปโรงเรียน หรือถูกครูว่ากล่าว เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ในเด็กตามมา
สถานที่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม รวมทั้งความถี่ของการเกิดพฤติกรรม
3. ตั้งเป้าหมายในการปรับพฤติกรรม โดยแยกแยะพฤติกรรมออกเป็นพฤติกรรมย่อยๆเริ่มฝึกจากง่ายไปยาก เช่น การฝึกการขับถ่าย ต้องเริ่มจากเด็กเข้าใจคำ สั่งสั้นๆ บอกได้ว่ารู้สึกปวด นั่งกระโถน นั่งโถส้วมได้ เป็นต้น การตั้งเป้าหมายต้องไม่สูงเกินความสามารถของเด็กค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้น หากพ่อแม่มีความเข้าใจ พัฒนาการตามวัย เข้าใจธรรมชาติของลูกจะช่วยให้ตั้งเป้าหมายเป็นไปอย่างเหมาะสม
4. เลือกเทคนิคต่างๆ ในการปรับพฤติกรรม พ่อแม่ส่วนมากพยายามปรับพฤติกรรมเด็กมาระยะหนึ่งแต่ไม่ได้ผล จึงมาปรึกษาแพทย์ บ่อยครั้งวิธีที่พ่อแม่ใช้นั้นไม่ผิด เพียงแต่ไม่เหมาะสมกับพฤติกรรมและความต้องการของเด็ก การให้คำ ปรึกษาจะเป็นการมองทางเลือกอื่นๆ เพิ่มเติมหรือปรับวิธีการบางอย่างของพ่อแม่
เทคนิคที่ใช้ในการปรับพฤติกรรม ได้แก่
4.1 การจูงใจให้ทำ พฤติกรรมที่ต้องการ การจูงใจให้เด็กลงมือทำ พฤติกรรมเป็นสิ่งที่พ่อ แม่ต้องพัฒนาตนเอง พ่อแม่หลายคนใช้การพูดสั่งให้เด็กทำ แต่ขาดนํ้าหนัก ขาดท่าทางที่ชักจูงเด็ก ทำ ให้เด็กไม่ทำ สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ เมื่อไม่ทำ ตาม ทำ ให้พ่อแม่อารมณ์เสีย ใช้อารมณ์บังคับเด็กทำ ให้เด็กมีปัญหาต่อต้าน นำ ไปสู่ปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ หรือพ่อแม่เองรู้สึกเหนื่อย ผิดหวังในตัวเอง ผิดหวังในตัวลูก ที่ต้องใชอารมณ์ เสียงดัง ตี บังคับลูกทุกวัน การจูงใจทำ ได้หลายวิธีดังนี้
ก. การใช้เหตุผล โดยให้เหตุผลให้เหมาะสมตามวัย เด็กเล็กใช้เหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นพ่อแม่ฝึกตัวเองให้พูดกับลูกอย่างมีเหตุผลมากขึ้น รีบนำ ความคิดเห็นของลูกอธิบายให้เห็นผลที่เกิดตามมา การพูดบอกอธิบายควรให้เวลาพอสมควร อาจนั่งลงพูดคุยกัน สบตา
ขณะที่พูดด้วย ควรหลีกเลี่ยงการพรํ่าบ่นไปเรื่อยๆ
ข. การใช้ท่าทางจูงใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กยังต้องจูงใจเด็ก ด้วยการจับมือ ให้ลงทำ เช่น บอกให้ลูกอาบนํ้า ต้องจูงมือเข้าห้องนํ้า ถอดเสื้อผ้า ช่วยดูให้อาบนํ้า เมื่อเด็กทำ ได้ดีขึ้นพ่อแม่ก็จะลดการช่วยเหลือลง
ค. มีท่าทีเอาจริงเอาจัง เวลาปรับพฤติกรรม พ่อแม่ต้องมีความเวลา มีความปลอดโปร่ง เมื่อบอกให้เด็กทำ อะไรต้องมีนํ้าเสียงท่าทางจริงจังอย่างที่พุด แต่ควบคุมไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้คำ พูดที่รุนแรง เมื่อเด็กไม่ทำ ต้องมีวิธีการที่จะแก้ปัญหา
ง. ทำ ให้สิ่งที่ทำ น่าสนุกน่าสนใจ ท่าทางของพ่อแม่ที่กระฉับกระเฉง ไม่เคร่งเครียดจะทำ ให้กิจกรรมที่ต้องทำ น่าสนใจขึ้น แม้แต่กิจวัตรประจำ วัน เช่น การอาบนํ้า แปรงฟัน หากพ่อ แม่ทำ ให้สนุกสนานขึ้น จะจูงใจเด็กได้มากขึ้น
จ. การเบนความสนใจ ใช้ในกรณีที่เด็กกำ ลังสนใจในบางสิ่งที่ไม่เหมาะ การหยุดทันทีทันใด อาจทำ ให้เด็กรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ ควรมีกิจกรรมทดแทน หลักการให้แรงเสริม ที่ช่วยให้เด็กหันมาสนใจสิ่งอื่นที่เหมาะสมกว่าแทน
4.2 การให้แรงเสริมทางบวกในการปรับพฤติกรรม เป็นการให้รางวัลเมื่อเด็กทำ พฤติกรรมที่ต้องการ เพื่อให้เด็กเกิดความพึงพอใจ อยากทำ พฤติกรรมนั้นซํ้า
โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
- ควรให้แรงเสริมทันทีที่เด็กแสดงพฤติกรรม
- เลือกแรงเสริมที่เด็กชอบพึงพอใจ
- การให้คำ ชมเชยต้องพอเหมาะกับความจริง พูดให้ชัดเจนว่าพอใจ
- พฤติกรรมใด
- ควรเลือกใช้แรงเสริมที่ไม่ใช่สิ่งของ หรือเข้ามาแทนที่แรงเสริมเดิม
- เมื่อเด็กเริ่มทำ พฤติกรรมได้สมํ่าเสมอ ควรลดแรงเสริมลง ให้แรงเสริมในพฤติกรรมใหม่ หรือพฤติกรรมที่ยากขึ้น
วิธีการให้แรงเสริมทำ ได้ดังนี้
ก. การให้ความสนใจ เด็กต้องการความสนใจจากพ่อแม่ด้วยการพูดคุย ทักทาย ยิ้ม สัมผัส กอดรัด เป็นแรงเสริมที่ใช้ได้ผลดีมากในเด็ก โดยพ่อแม่ให้ความสนใจพฤติกรรมที่เหมาะสม จุดที่สำ คัญพ่อแม่ต้องปรับมุมต่อปัญหาของเด็ก ซึ่งจะสามารถให้ความสนใจเด็กได้อย่าง
จริงใจ
ข. การให้คำ ชมเชย คำ พูดและท่าทางของพ่อแม่ที่ชื่นชมพฤติกรรมของลูกเป็นแรงเสริมที่มีประสิทธิภาพมาก การมองพฤติกรรมที่ดี เลือกให้คำ ชมเชย แสดงให้เห็นความยอมรับของพ่อแม่ในตัวลูก ทำ ให้ลูกมีกำ ลังใจในการทำ สิ่งที่ดี
ค. การให้รางวัล มีได้หลายวิธี เช่น
- ให้สิ่งของที่เด็กชอบ เช่น ขนม ตุ๊กตา ของเล่น เป็นต้น
- ให้เป็นดาวสะสม โดยกำ หนดพฤติกรรมที่ต้องการ หากเด็กทำ ได้ จะ
ได้ดาวมาสะสมเป็นรายวัน เมื่อได้ดาวครบจำ นวนที่ตั้งเป้าไว้ ก็สามารถ
นำ มาแลกเปลี่ยนเป็นของรางวัลได้
- ให้ทำ กิจกรรมที่ชอบ เช่น ลูกทำ การบ้านเสร็จ จะได้รับอนุญาติไปเล่นที่สนามเด็กเล่น เป็นต้น
- ให้สิทธิพิเศษ เช่น ให้ไปงานวันเกิดที่บ้านเพื่อนโดยกลับบ้านเข้านอน
ดึกกว่าวันปกติ
4.3 การให้แรงเสริมทางลบ การให้แรงเสริมทางลบเป็นการลงโทษ เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ การใช้การลงโทษต้องมีความระมัดระวัง ผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจหยุดพฤติกรรมหรือทำ ให้เด็กยอมตามได้ชั่วคราว แล้วกลับไปทำ พฤติกรรม
เดิมอีก การให้แรงเสริมทางลบ มีวิธีการดังนี้
ก. การหยุดให้ความสนใจ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ่อแม่จะลดให้ความสนใจในพฤติกรรมนั้น ข้อควรระวังคือ พ่อแม่ไม่ควรโกรธเด็กจนไม่สนใจไม่รับรู้เด็กไปทุกเรื่อง หรือเฉยเมยกับเด็กเป็นเวลานาน เช่น โกรธไม่พูดกับลูก 3-4 วัน เป็นต้น
ข. การใช้เวลานอก เลือกใช้เมื่อเด็กวุ่นวายมาก ควบคุมตนเองไม่ได้ ควรแยกให้เด็กไปอยู่ตามลำ พังโดยนั่งนิ่งๆ ไม่ให้ทำ อะไร กำ หนดเวลาให้เหมาะสม การใช้เวลานอกเพื่อการ
ลงโทษจะไม่ได้ผล ถ้าแยกเด็กออกไปแล้วยังให้เล่นหรือทำ อะไรได้
ค. การงดสิทธิบางอย่างที่ควรได้ โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบแยกตัวเอง เป็นการลงโทษโดยตัดสิทธิที่ควรได้ เช่น งดเล่นเกมในวันเสาร์ การตัดสิทธิต้องพอเหมาะกับความผิดไม่รุนแรงเกินไป และไม่ใช่ขู่เด็กโดยไม่สามารถตัดสิทธิเด็กได้อย่างที่คาดโทษไว้
จ. การตี เป็นการลงโทษที่ต้องเลือกใช้เมื่อมีการตกลงบทลงโทษไว้ก่อน ซึ่งมีการบอกให้เด็กทราบถึงเหตุผลที่ทำ ให้เขาต้องถูกลงโทษด้วยการตี การตีด้วยอารมณ์ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ควรปล่อยให้พ่อหรือแม่เป็นผู้ลงโทษแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก
คู่มือการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชสำ หรับแพทย์. มาโนช หล่อตระกูล บก. กรมสุขภาพจิต 2544