เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าวัยเป็นความผิดปกติของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ที่การพัฒนาความเข้าใจภาษาและการพูดไม่เป็นไปตามอายุ เด็กปกติจะพัฒนาความเข้าใจภาษาประมาณ 8 เดือนและพูดได้ประมาณ 10-12 เดือน แต่เด็กที่อายุ 1 ปี 6 เดือน ยังไม่เข้าใจคำพูด อายุ 2 ปี ยังไม่พูดคำที่มีความหมายหรือ 3 ปียังพูดเป็นประโยคไม่ได้ จะได้รับการวินิจฉัยด้านความผิดปกติของการสื่อความหมายว่าพูดช้ากว่าวัย มีลักษณะความบกพร่องที่สังเกตได้ คือไม่ค่อยเข้าใจคำพูด ไม่พูดหรือเริ่มพูดคำที่มีความหมายได้ช้ากว่าเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน โดยอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งคือสติปัญญาบกพร่องหรือพัฒนาการช้า (Global Developmental Disorders) มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน (hearing loss) สมองพิการ (Cerebral Palsy) ออทิสติก (Autistic Spectrum Disorders) หรือ อาจเกิดจากการขาดการกระตุ้นพัฒนาการภาษาและการพูดจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อม (Under stimulated child) ซึ่งพบเด็กพูดช้าประมาณร้อยละ 10 ของเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เด็กเหล่านี้จะมีปัญหาพัฒนาการทางภาษาและการพูดที่ช้ากว่าวัย หากได้รับการช่วยเหลือช้าและไม่ทันช่วงเวลาการเรียนรู้ที่สำคัญโดยเฉพาะในช่วง 6 ขวบปีแรกของชีวิต อาจทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทั่วไป แต่ถ้าเด็กได้รับการบำบัดเมื่ออายุยังน้อยอย่างสมํ่าเสมอและต่อเนื่องจะช่วยให้เด็กความก้าวหน้าของพัฒนาการดีขึ้นได้
เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าวัยมีแนวโน้มสูงขึ้น จากสถิติเด็กที่มารับบริการที่โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2557 ด้วยปัญหาการพูด มีจำนวน 2,033 ราย 2,479 ราย และ 3,751 ราย ตามลำดับ โดยที่สถิติผู้ป่วย กลุ่มสติปัญญาบกพร่องหรือพัฒนาการช้า (Global Developmental Disorders) มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน (hearing loss) สมองพิการ (Cerebral Palsy) ออทิสติก (Autistic Spectrum Disorders) หรือขาดการกระตุ้นพัฒนาการภาษา และการพูด (Under stimulated child) ในแต่ละปีก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกล่าวคือมียอดรวมถึง 19,651 คน 23,877 คน และ 24,313 คน ตามลำดับ เด็กเหล่านี้ ล้วนมีปัญหาด้านภาษาและการพูดช้ากว่าวัยและส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบริการฝึกพูดได้
จากสถิติผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ในปี 2556 พบว่าปัญหาที่ทำให้ผู้ปกครองนำเด็กมาโรงพยาบาล คือ ปัญหาภาษาและการพูดซึ่งสูงถึงร้อยละ 74.8 อาการสำคัญที่นำมาโรงพยาบาลสูงสุด 2 อันดับแรก คือไม่พูดร้อยละ 39.5 และพูดช้าร้อยละ 18.5 ในจำนวนนี้เป็นเด็กกลุ่มอาการออทิสติกมากที่สุดถึงร้อยละ 39.2 แต่นักแก้ไขการพูดมีจำนวนเพียง 3 คนไม่เพียงพอต่อการให้บริการ เด็กที่มีปัญหาการพูดอย่างสมํ่าเสมอและต่อเนื่อง และมียอดผู้ป่วยคงค้างสะสมในตารางรอรับบริการฝึกพูดเป็นจำนวนมาก จากการศึกษาผลของการให้ผู้ปกครองฝึกเด็กออทิสติกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กที่พูดช้า พบว่าผู้ปกครองสามารถฝึกและกระตุ้นพัฒนาการเด็กให้ดีขึ้นได้ในด้านพฤติกรรมการสื่อสาร การสร้างปฏิสัมพันธ์ การเรียนรู้คำศัพท์ ทำให้เด็กมีความก้าวหน้าด้านภาษาและการสื่อสารมากขึ้นและจากรายงานวิจัยแบบอภิธานที่กล่าวถึงผลการฝึกพูดเบื้องต้นระบุว่าการฝึกพูดเบื้องต้นโดยผู้ปกครองได้ผลไม่แตกต่างจากนักฝึกพูดและระยะเวลาในการฝึกพูดควรมากกว่า 8 สัปดาห์ โดยผลดีของการฝึกจะเพิ่มทักษะด้านการใช้ภาษา(expressive)ดีกว่าความเข้าใจภาษา(receptive)นอกจากนี้การนำคู่มือฝึกพูดของต่างประเทศมาใช้อาจจะมีข้อจำกัดในด้านวัฒนธรรมภาษาที่ใช้ต่างจากภาษาไทยและไม่มีภาพประกอบที่อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเมื่อนำมาใช้กับสังคมไทยผู้วิจัยจึงได้พัฒนา“คู่มือฝึกพูดสำหรับผู้ปกครอง” ที่มีเนื้อหาความรู้และกิจกรรมฝึกทักษะที่มีภาพประกอบชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจและการนำไปฝึกปฏิบัติเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถนำคู่มือไปใช้ในการฝึกเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการด้านภาษาและการพูดล่าช้าที่อยู่ในความดูแลได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทันต่อพัฒนาการช่วงที่สำคัญเพื่อช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาและการพูดเป็นไปตามวัยได้อย่างเหมาะสม การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมฝึกพูดเด็กพูดช้าโดยใช้คู่มือฝึกพูดสำหรับผู้ปกครอง
ข้อมูลจาก
เดือนฉาย แสงรัตนายนต์.ประสิทธิผลของโปรแกรมฝึกพูดเด็กพูดช้า โดยใช้คู่มือฝึกพูดสำหรับผู้ปกครอง.วารสารราชานุกูล 2559, 31(1).
ขอแนะนำคลินิก /สถาบัน สอนเด็กพูดช้า ฝึกพูด
คลิกในลิ้งได้เลยคะ
https://my-best.in.th/53189